ชีวิตจริง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ชีวิตจริงไหม ชีวิตนี้เป็นชีวิตจริง ชีวิตเรานี่เกิดมาเป็นความจริงนะ เป็นชีวิตที่จริง ๆ พอว่าเป็นชีวิตจริงนี่มันต้องศึกษาเล่าเรียนมาเพื่อหาประกอบอาชีพ ชีวิตจริงไง ชีวิตเป็นของจริง แต่มันสมมุติ ในศาสนาเวลาพูดเรื่องปรมัตถ์ว่าชีวิตนี่เป็นสมมุติ แต่สมมุติในฐานะของร่างกาย ถ้าชีวิตนี้จริง จริงเพราะมีหัวใจ หัวใจเวลาเกิด เวลาตาย เวลาเกิดเวลาตายไป
พอชีวิตจริงเราต้องทำบุญกุศล ทำบุญกุศลมันก็สะสมลงมาที่หัวใจ เพราะหัวใจเป็นผู้สละออก หัวใจเจตนาสละออก ความสละออกของใจบุญกุศลนั้นประทับลงที่ใจ ใจเท่านั้นเป็นของจริง ชีวิตนี้ถึงเป็นชีวิตจริง แต่จริงในกาลครั้งหนึ่ง ในวัฏวน ใน ๓ โลกธาตุ ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ ในมนุษย์นี้เป็นกามภพ กามภพตั้งแต่เทวดาลงมาเป็นกาม ผู้ที่เสวยกามถึงเรียกว่ากามภพ รูปภพนี้พรหมที่มีรูป อรูปภพ
นี่เป็นวัฏวน จิตนี้วนไป ถ้าพูดถึงวัฏวน วนถึงออกไป นี่ถ้าสมมุติ สมมุติในสถานะ ถ้าธรรมะปรมัตถ์นี่ สถานะคือว่าเราอยู่ชั่วคราว แต่ชีวิตจริง ๆ คือจิตดวงนี้มันยังวนเวียนอยู่ จิตของเรานี่ตายเกิด ๆ วนเวียนไป ชีวิตนี้ก็เป็นชีวิตจริง ในชีวิตจริงเราถึงทำบุญกุศลได้บุญกุศล
แม้แต่พระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ก็ต้องสร้างบุญกุศลขึ้นมา จากการเวียนตายเวียนเกิดไปนี่สะสมลงไปในหัวใจ ไปเกิดเป็นสัตว์ เป็นนกแขกเต้าก็เป็นหัวหน้า เกิดเป็นกวางก็เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำหมู่ เป็นผู้รื้อสัตว์ขนสัตว์ เป็นผู้ชักนำไป แล้วก็จิตนี่สะสมมาเรื่อย สะสมมา พัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ ตัวของใจนั้นพัฒนาขึ้นไปเรื่อย
แต่การเกิดการตายนี้เป็นสมมุติ ถ้าสมมุติในว่าชีวิตนี้ไม่จริง ไม่จริงแต่สถานะของร่างกาย เพราะร่างกายต้องแตกดับไป ถึงว่าถ้าร่างกายแตกดับไปนี่ มันมี ๒ อย่าง ถ้าเราคิดว่าชีวิตจริง จริงในการสะสมบุญกุศล ถ้าชีวิตจริงนี่เราก็จะยึดทุกอย่างเป็นของเรา เห็นไหม ทุกข์มันเกิดขึ้นตรงนี้ไง มันเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือว่าเราไม่เข้าใจเรื่องความเป็นจริง เราจะยึดเกินไป พอยึดเกินไปนี่มันก็ทำให้เราเป็นทุกข์
แต่ถ้าเราสร้างสมขึ้นไปนี่ เราไม่ยึด คือว่าเป็นทางผ่านไง ชีวิตนี้เป็นทางผ่านไปเพื่อจะสะสมบุญกุศลของเราขึ้นไป แล้วเกิดต่อไป ๆ นี่จริงในเฉพาะหัวใจ หัวใจรับจริง ถ้าสมมุติหมดเราก็สักแต่ว่า ถึงว่าถ้าสมมุติหมดก็เหมือนกับว่าเราปฏิเสธทั้งหมด แล้วเราจะทำอะไรก็ได้เพื่อชั่วคราวไปไง มันถึงว่าเราไม่ได้สร้างสมคุณงามความดีอันนั้นลงที่หัวใจเรา
คุณงามความดีที่เราทำขึ้นมาเขาเรียกว่า บุญ ทำสิ่งที่ไม่ดีนั้นเรียกว่า บาป บาปหรือบุญนี้มันต้องสะสมลงที่ผู้กระทำนั้น ลงที่หัวใจที่เจตนาที่อยากจะทำออกไปนั้น เจตนาที่รับที่แสดงออกมา แล้วพื้นฐานนะ ภวาสวะภพของใจ ตัวภพ ตัวสถานะ เห็นไหม สถานะใจที่เกิดดับ ๆ จิตตัวนี้มีอยู่ จิตตัวนี้ไม่เคยตาย มันถึงชีวิตจริงเพราะมีหัวใจตัวนี้อยู่ในร่างกายนั้น
แต่เราปฏิเสธที่ร่างกายนี้ สถานะที่ร่างกายเกิดเป็นมนุษย์ ถึงว่าต้องทำความสงบ ถ้าเรามีวาสนา เราก็สร้างสมบุญกุศลไป ถ้ามีวาสนาอย่างถึงที่สุดมันก็สามารถชำระได้เลย เราจะสะสมขนาดไหน พระศรีอริยเมตไตรยก็มาตรัสธรรมะอันนี้เหมือนกัน เราเวลาทำบุญกุศลกัน เราบอกถ้าเราทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ไม่ได้ในชาตินี้ก็ขอให้เจอพระศรีอริยเมตไตรยต่อไป เพราะพระศรีอริยเมตไตรยนี่ในอนาคตนั้นที่ว่าจะทำได้ง่ายขึ้นมา เพราะเวลาฟังขึ้นมาใครศึกษาแล้วจะรู้ตามไป ๆ
แต่ขณะที่เราเวียนตายเวียนเกิดนี่ มันทุกข์ไป แล้วเราจะไปเจอสถานะนั้นไหม เพราะจิตนี้มันหมุนไป ในความหมุนไปอันนั้น ถึงว่าย้อนกลับมาปัจจุบัน ธรรมอันนี้อันเดียวกัน อริยสัจ ๔ นี่เหมือนกัน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เหมือนกัน พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ตรัสเหมือนกันหมดเลย ทุก ๆ พระองค์นะ พระพุทธเจ้ามีหลายพระองค์มาแล้ว ทุก ๆ พระองค์ตรัสเหมือนกัน แล้วเราก็เจอธรรมะอันนี้เหมือนกัน แต่เราทำได้ไม่ได้นี่มันเป็นที่ว่าอำนาจวาสนาของเรา ถ้าอำนาจวาสนาของเรานี่ มันปฏิบัติเข้าไป ถึงว่าชีวิตนี้ปลอมไง ถ้าชีวิตนี้ปลอมมันจะปล่อยชีวิตนี้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนั่น เห็นไหม ตายนี่กิเลสมันตาย พอกิเลสมันตายนี่ ความยึดมันจะไม่มีในหัวใจนั้น นี่มีชีวิตอยู่สะอาดบริสุทธิ์ทั้งหมดเลย ชีวิตนี้มันเห็นว่าการอยู่สถานะนี้มันชั่วคราว คำว่า ชั่วคราว นี่คือของปลอม ถ้าของปลอมประสาโลกเราปัจจุบันนี้ปลอมคือไม่จริงเลย แต่การปลอมนี้คือสมมุติสัจจะ มันมีอยู่ชั่วคราว มันตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วมันต้องแปรสภาพไปโดยธรรมชาติของมัน
แต่อันนี้เพราะมันรู้จริงเห็นจริง แล้วจิตกับกายมันจะปล่อยออกจากกัน จิตมันจะปล่อยกิเลสทั้งหมด นี่จิตโดยอิสระขึ้นมา ตัวหัวใจเป็นตัวอิสระพ้นไปเลย พอพ้นจากอิสระตัวนั้น นั่นน่ะทีนี้จริงสุด ๆ เลย นี่ปรมัตถสัจจะ ความเป็นจริงไง สัจจะในอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อริยสัจ ความเป็นจริงของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นถึงเข้าใจทั้งหมด ความเป็นจริงรู้เข้าใจแล้วปล่อยวางตามความเป็นจริง
ถึงว่าถ้าเราฟังธรรมในโลกของเรา พอเราบอกปรมัตถ์ปั๊บ เขาบอกว่าชีวิตนี้สมมุติ เราก็คลางแคลงใจ ความคลางแคลงใจชีวิตของปลอม ปลอมได้อย่างไร...มันจริง จริง ๆ ๆ ชีวิตนี้เป็นชีวิตจริง แต่ในสัจจะเวลาชีวิตจริงนี่ มันจริงแล้วมันมีสิ่งที่ว่าพัวพันไป มันจริงในความอยู่ที่เราอยู่ของเรา แล้วต่อไปข้างหน้านี่มันจะจริงไหม ถ้ามันจริงที่ว่า นี่เวลาปรมัตถสัจจะ คนเกิดมาทั้งหมดต้องตายหมด แล้วคนตายก็ต้องเกิดหมด เกิดหมดนะ
นี่จิตมันเวียนไป ในพระไตรปิฎกว่าอย่างนั้น คนเราเกิดมานี่ตายหมดเลย เห็นไหม มันแปรสภาพ แล้วต้องเกิดหมด เว้นไว้แต่ พระอนาคานี่ไม่เกิดในกามภพแล้ว พระอนาคาขึ้นไป พระอนาคาเกิดอีกชาติหนึ่ง พ้นออกไป เพราะต้องไปเกิดในพรหม แล้วก็พระอรหันต์เท่านั้น พระอรหันต์นี่พ้นออกไปเลย พระอรหันต์หรือพระอนาคานั้นใครเป็น? หัวใจของเรา หัวใจทุกดวงนี่เป็น หัวใจที่ในใจเรานี่ มันถึงว่ามันทำเป็นได้มันเป็น ตัวหัวใจเป็น เนื้อธาตุ ๔ นี้ไม่เป็น ใจที่เป็น แล้วใจมีอยู่ทุกดวง ทุกหัวใจ ทุกคนที่เกิดมามีหัวใจ ใจนี้เป็นได้หมด
นี้เราขวนขวาย ถ้าสว่างโพลงขึ้นขณะนั้นมันก็เป็นได้ ความเป็นได้นั่นน่ะเพราะหัวใจเป็น มันไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ใจดวงนั้นถึงเป็นได้ แล้วใจมีในเราคือว่า แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มนุษย์เหมือนกัน มีสถานะเหมือนกัน พระอริยบุคคล ตั้งแต่พระสารีบุตรลงมาก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ถึงว่าเรามีโอกาสเป็นได้ เรามีสถานะที่จะเป็นได้
ทุกข์ เวลาเราทุกข์อยู่ในปัจจุบันนี้ เราทุกข์ร้อนมาก เราทุกข์ร้อนนี่บีบคั้นหัวใจเรา แต่หัวใจที่มันทุกข์ ๆ อยู่นั่นน่ะ ถ้าเห็นทุกข์จริงมันสละทุกข์ได้ มันก็เป็นในปัจจุบันนั้น ถึงว่าเป็นได้หมดทุกดวงใจที่มีลมหายใจเข้าออกแล้วศึกษาสัจจะนี้ความเป็นจริง ถ้าศึกษาแล้วประพฤติปฏิบัติมันเป็นไปได้ด้วยประสบการณ์ที่เข้าไปพบเห็น ไม่ใช่การจำมาหรือศึกษามา เล่าเรียนมา
ฉะนั้นมันถึงต้องย้อนกลับมาตรงที่ปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ ทำใจให้สงบ ใจสงบแล้วยกขึ้นวิปัสสนา วิปัสสนานั้นชำระกิเลสเป็นชั้น ๆ เข้าไป แล้วจะเห็นสมมุติสัจจะ ปรมัตถสัจจะตามความเป็นจริง ถ้าเห็นจริงอย่างนั้นแล้วถึงจะเข้าใจความเป็นจริง แล้วจะเข้าใจหมด แล้วจิตนี้จะเห็นคุณของศาสนา
เวลาครูบาอาจารย์กราบพระพุทธรูป เห็นไหม กราบถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะกราบด้วยความซึ้งใจมาก ซึ้งใจเพราะเหมือนกับลูกซึ้งใจพ่อแม่มาก เพราะพ่อแม่เลี้ยงดูมา ถึงเติบโตเป็นคนขึ้นมา แล้วจะซึ้งใจของตัวเอง ทีนี้พระเหมือนกัน พระที่ปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติไป ใจนี่ได้รับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา ได้รับธรรมนะ ธรรมที่ว่าพระพุทธเจ้าวางไว้แล้วเดินตามไปนี่ ทำไมมันจะไม่กราบด้วยหัวใจ จะกราบด้วยหัวใจสุด ๆ นะ กราบถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าเป็นผู้วางแนวทาง ชี้ทางให้เราออกไป ก็เหมือนกับได้เจริญเติบโตมาในธรรมนั้น
กราบด้วยหัวใจ กราบถึงคุณงามความดี กราบถึงหัวใจ ไม่ใช่กราบอย่างพวกเรา พวกเรากราบแล้วมันก็กราบด้วยความลังเลสงสัย กับกราบด้วยความซึ้งใจต่างกันมาก นั่นน่ะชีวิตจริง จริงตามความเป็นจริง แต่ปรมัตถสัจจะมันสมมุติโดยร่างกายสถานะนั้น แล้วจะหมุนเวียนไป อันนั้นถ้าไปศึกษาแล้วจะเห็นตามความเป็นจริง เอวัง